วิธีส่งข้อความฟรีระหว่าง iPhone, iPad, iPod Touch และ Mac ด้วย iMessage

ปัจจุบัน “แชท” เหมือนจะได้รับความนิยมมากกว่าการโทรคุยกันไปแล้ว โดยมีแอปที่ใช้สำหรับแชทหลากหลายมาก ที่ได้รับความนิยมในไทยก็คงไม่พ้น Line และอีกหลายๆ แอพ แต่บทความนี้ผมจะแนะนำฟีเจอร์หนึ่งใน iOS ที่มีมาให้ แต่หลายๆ คนที่เป็นมือใหม่ไม่รู้จัก แต่เป็นฟีเจอร์ที่ค่อนข้างมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะกับคนที่มีเพื่อนๆ ใช้ iPhone, iPad, iPod Touch และ Mac นั่นก็คือ “iMessage”

iMessage เป็นฟีเจอร์ที่มาพร้อมกับ iOS ทำให้ iDevice สามารถส่งข้อความผ่าน Internet หากันได้ฟรี (ต่างกับ SMS ที่เสียค่าบริการ) การใช้ iMessage ก็ไม่ต่างอะไรกับ SMS เลย แค่ต้องตั้งค่าก่อนใช้งานนิดหน่อย ครั้งเดียว ก็ใช้ได้เลย สะดวก ไม่ต้องโหลดแอป ไม่ต้องแอดเพื่อน มาดูกันเลยดีกว่าครับ

 

วิดีโอข้างบน เป็นตัวอย่างการใช้ iMessage บน iPhone

iMessage ทำให้เราสามารถส่งข้อความหา iPhone ด้วยกัน หรือส่งหา iPad, iPod Touch หรือ Mac ที่เปิดใช้ iMessage แล้ว “ฟรี” ผ่าน Internet ทำให้สามารถใช้ iMessage แชทได้เลย ก่อนใช้งาน ต้องตั้งค่านิดหน่อยครับ ครั้งเดียว ก็ใช้ได้เลย

วิธีตั้งค่าก่อนใช้งาน iMessage

IMG_2069

เข้าเมนู Setting ของ iPhone แล้วเลือก Messages

———————————————————————————————————

IMG_2070

 จะมีปุ่ม iMessage ให้เรากดเปิด (เป็นสีเขียว) เพื่อเปิดใช้งาน iMessage

สำหรับเมนูอื่นๆ ผมจะอธิบายสั้นๆ ดังนี้ครับ

  • MMS Messaging เปิดเพื่อใช้งาน MMS
  • Show Subject Field สำหรับเปิดช่อง “หัวข้อ” ก่อนส่งข้อความ ซึ่งผมแนะนำว่าปิดไว้ดีกว่าครับ เพราะคงไม่ได้ใช้
  • Character Count สำหรับเปิดตัวนับข้อความเวลาเราพิมพ์ ว่าพิมพ์ไปกี่ตัวอักษรแล้ว
  • Blocked แสดงรายการเบอร์คนที่เรา block ไว้

 ———————————————————————————————————

IMG_2071

 

หลังจากกดเปิด จะขึ้นข้อความว่า Waiting… รอสักครู่จนปุ่ม iMessage เป็นสีเขียว ก็เป็นอันเรียบร้อย

เมื่อเปิดใช้งาน iMessage แล้ว จะมีเมนูเพิ่มเติมขึ้นมา ดังนี้

  • Send Read Receipts เปิด-ปิด เพื่อแสดงสถานะการอ่าน (ถ้าเราปิดไว้ เพื่อนจะไม่รู้ว่าเราได้อ่านข้อความแล้วหรือไม่)
  • Send as SMS อันนี้แนะนำให้เปิดครับ เพราะ iMessage ใช้ Internet ในการรับส่ง หากเพื่อนที่เราส่ง iMessage ไปหา ไม่มี Internet หรือขณะนั้นไม่มีสัญญาณ ถ้าเราเปิดเมนูนี้ไว้ จะกลายเป็นส่ง SMS ไปแทน ทำให้ไม่พลาดข้อความ แต่ก็จะมีค่าบริการ SMS มาแทน
  • Send & Receive สำหรับระบุหมายเลขหรืออีเมล์ในการส่ง iMessage

———————————————————————————————————

IMG_2072

หน้าจอแสดง Send & Receive

โดยปกติแล้ว ถ้าเป็นการเปิดใช้งานครั้งแรก iDevice จะกำหนดเบอร์โทรของเราเป็นตัวหลักใน Send & Receive นั่นก็คือ เวลาเราส่ง iMessage หาใคร คนรับจะเห็นเบอร์ เหมือนการส่ง SMS แต่ iMessage สามารถระบุเป็น Email ได้ หากเราไม่อยากให้เห็นเบอร์โทร โดยสามารถใช้ Apple ID หรือจะเพิ่ม Email อื่นๆ ก็ได้ครับ ในส่วนของ Start new conversations from ให้ระบุว่า จะใช้เบอร์โทร หรือ Email ไหนเป็นหลักสำหรับใช้งาน iMessage

อีกอย่าง การที่เราเพิ่ม Email เข้าไปในส่วนนี้ ทำให้เวลามีคนจะส่ง iMessage หาเรา นอกจากส่งผ่านเบอร์ได้แล้ว ยังส่งด้วยการใส่ Email แทนเบอร์ได้ด้วย

———————————————————————————————————

IMG_2073

ตัวอย่างการส่ง iMessage บน iPhone

ลืมบอกไปว่า iMessage ถูกฝังอยู่ในเมนู Message ของ iOS เลยครับ เวลาจะใช้งาน ก็เข้าไปที่ Message ได้เลย โดยปกติ ถ้าเป็นการส่ง SMS หน้าจอขณะเขียนข้อความ จะเป็น New Message แต่หากในช่อง To: เราใส่เบอร์หรือ Email ของคนที่เปิดใช้ iMessage แล้ว หน้าจอจะเป็นเป็น New iMessage ให้ทันที พร้อมทั้งเปลี่ยนจากสีเขียว เป็นสีฟ้า ทั้งในส่วนของชื่อผู้รับ และข้อความ

วิธีสังเกตอีกอย่าง หากเป็น iMessage ในช่องพิมพ์ข้อความ ก็จะมีคำว่า iMessage จางๆ อยู่ ตามรูปครับ

แต่หากเบอร์หรือ Email ที่เราใส่ในช่อง To: ไม่ได้เปิด iMessage ไว้ ก็จะเป็น Message ทุกอย่างจะเป็นสีเขียว ดังรูปข้างล่างครับ

Untitled-2

ความแตกต่างของ iMessage (สีฟ้า) กับ SMS (สีเขียว) ในการใช้งาน Message ของ iOS

———————————————————————————————————

สรุปง่ายๆ ก็คือ iMessage ทำให้ iDevice สามารถส่งข้อความผ่าน Internet หากันฟรี โดยเรียกบริการนี้ว่า “iMessage” ทำให้ผู้ใช้ iDevice สามารถแชทกันได้โดยไม่ต้องลงแอปใดๆ นั่นเองครับ

นอกจากใช้ส่งข้อความแล้ว iMessage ยังสามารถรับส่งรูป, วิดีโอ ได้อีกด้วย และนอกจากนี้ยังสามารถส่งแผนที่, เสียงที่อัดจาก iPhone ได้จากตัว Maps และ Voice Memos ของ iOS ได้ด้วยครับ

สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งใช้ iOS แนะนำให้เปิดไว้ครับ มีประโยชน์แน่นอนครับ 🙂

Leave a comment